เมื่อหมอทำให้พ่อตองตาย

ตอนที่ 1. พ่อเป็นมะเร็ง

พ่อผมเป็นมะเร็ง..

พ่อตายตอนอายุ 79 สำหรับอายุขัยคนไทยรุ่นหลังๆถือว่าพ่อผมตายเร็ว

พ่อปวดท้องอยู่หลายเดือน ซึ่งน่าจะปวดมากถ้าพ่อบอกผมว่าปวด พ่อเป็นคนอดทน ไม่ค่อยเเสดงความรู้สึก โดยเฉพาะถ้ารู้ว่าการพูดจะทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายใจ

กว่าจะรู้ว่าพ่อเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ก็เมื่อหมอทางเดินอาหารรักษาตับอ่อนอักเสบอยู่พักนึง เเล้วส่งให้หมอศัลย์ผ่านิ่วในถุงน้ำดี..ซึ่งจริงๆเเล้วมันไม่ใช่สาเหตุ!

ด้วยความรอบคอบที่อาจเรียกว่าสายเกินไป เราตัดสินใจส่องกล้องก่อนผ่าตัด เเละที่สุดก็พบมะเร็งในกระเพาะอาหาร ในระยะที่ลุกลามเเล้วพอสมควร การผ่าตัดต้องเปลี่ยนเเผน จากการผ่านิ่วที่เเสนธรรมดา มาเป็นการผ่าตัดกระเพาะอาหารทิ้งออกไปกว่าครึ่ง

หลังผ่าตัด อาการปวดเเน่นยังไม่หาย พ่อยังมีอาการอืดท้อง ทานข้าวเเต่ละมื้อด้วยความทรมาน เราคิดโดยใช้ประสพการณ์ ตัดสินว่าคือปัญหาจากการตัดต่อกระเพาะกับลำไส้ ซึ่งถ้าหากเป็นสาเหตุนี้ ก็คงทำการเเก้ไขอะไรได้ไม่มากนัก..

…ซึ่งผมก็คิดผิดอีกครั้ง..

ตอนที่ 2. ผ่าพ่อตัวเอง

หลังผ่าตัดกระเพาะ ผมคุย กับศัลยแพทย์ ปรึกษาอายุรแพทย์ด้านมะเร็งที่คุ้นเคย เเล้วก็ตัดสินใจเองว่าพ่อไม่ควรจะได้รับคีโม นี่คงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่ เราคิดว่ามันไม่มีอยู่ในช่องท้องเติบโตขึ้น หลังจากการผ่าตัด และเป็นสาเหตุให้ รบกวนระบบ การทำงานของทางเดินอาหารและในที่สุด ก็ทำให้เกิดการอุดตัน กว่าที่ผมจะพบว่า จำเป็นจะต้องแก้ไขปัญหานี้ พ่อก็เริ่มมีอาการ ตัวเหลืองตาเหลือง ที่สังเกตได้

ผมเป็นเเพทย์ด้านรังสีร่วมรักษา ที่ใช่วิธีการผ่าตัดเเบบเเผลเล็กเจาะรู แม้ตัวเองจะมีประสบการณ์ กว่า 20 ปีแม้ว่ามีความมั่นใจในการทำหัตถการ ค่อนข้างมาก เเต่เมื่อถึงคราวต้องทำการรักษาพ่อของตัวเอง ก็มีความตื่นเต้นไม่น้อย ..ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ผมใส่สายระบาย น้ำดีเข้าไปในตับเพื่อทำการระบายน้ำดี ออกมานอกร่างกาย และส่วนหนึ่งน้ำดีก็ลงไปในลำไส้ได้ พ่อค่อยๆมีอาการดีขึ้นหลังจากการผ่าตัดครั้งนั้น พร้อมๆกันพ่อต้องได้รับการให้ยาเคมีบำบัด อยู่หลายครั้ง

ผมแทบจะอยู่กับพ่อทุกคืนที่พ่ออยู่โรงพยาบาล ความที่ตัวเองเป็นลูกชายคนเดียวและเป็นหมอ ทำให้หน้าที่นั้นตกอยู่กับตัวผมโดยปริยาย แต่ที่สำคัญกว่านั้น ผมเองรู้สึกว่า ช่วงเวลา ที่ได้อยู่กับพ่อ ในแต่ละวันเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างมีค่า และผมก็เชื่อว่า ในใจพ่อก็คงที่ดีใจเเละอุ่นใจที่ได้เห็นผมอยู่กับพ่อแบบนี้ แม้ปากพ่อจะบอกตลอดว่า”ไม่ต้องมาเฝ้าพ่อให้ไปทำงาน” ก็ตาม

ตอนที่ 3. เมื่อเราไม่เชื่อตัวเอง

มีบางอย่างสำหรับเเพทย์ ที่มากกว่าความรู้ ทักษะฝีมือ หรือยิ่งกว่าประสพการณ์ ใครอาจจะเรียกมันว่า เซ็นส์ หรือ ญานก็ตาม

ผมทำการรักษา ขยายท่อน้ำดีผ่าน ตับ ให้ผู้ป่วยมาเป็นจำนวนมาก ทำงานวิจัยด้านการรักษามะเร็งบริเวณท่อน้ำดี เรียนรู้จากทั้งในตำรา การฝึกฝน เรียนรู้จากภาวะแทรกซ้อน กระทั่งจากความตายของผู้ป่วย จนมาถึงจุดจุดหนึ่งเราเรียกมันว่า ความชำนาญ

เเต่เเพทย์ที่ผ่าตัดผู้ป่วยมามากที่สุด ยังไม่เคยมีใครกล้าพูดได้ว่า การรักษาจะไม่เกิดภาวะเเทรกซ้อน

หลังหมดคอร์สคีโม พ่อยังต้องคาท่อระบายน้ำดีอยู่กับตัว มีถุงที่ใส่น้ำดี เดินไปเดินมาติดต้วตลอด ผมต้องทำแผลให้คุณพ่อเกือบทุกๆวัน เมื่อไหร่ที่ไปต่างจังหวัด ภรรยาผม ก็กลายเป็นพยาบาลจำเป็นที่ต้องช่วยดูแลแผลให้พ่อที่บ้าน ในช่วงระยะเวลานั้นผมไม่สามารถเดินทางไปไหนไกลหลายวัน หรือไปต่างประเทศได้เลย เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมได้พบได้คุยกับพ่อทุกๆวัน ได้พาพ่อไปทานอาหารอร่อยๆที่พ่อชอบ แม้จะรู้ว่ารสชาติของอาหารคงไม่ดี เหมือนตอนที่พ่อยังสบายดี

วันนึงผมก็คิดว่าพ่อน่าจะสบายกว่านี้ได้!

เราสามารถเอาท่อระบายน้ำดีออกจากตัวผู้ป่วยได้โดยการฝังขดลวดถ่างขยายท่อน้ำดีเข้าไปแทน ผมทำวิธีการนี้มามาก เเละพบว่าต้องระมัดระวังว่าขดลวดอาจอุดตัน เเละเเก้ไขได้ลำบากในภายหลัง ผมมักจะสอนสั่งลูกศิษย์หรือแพทย์รุ่นน้องเสมอว่า ไม่จำเป็นก็ไม่ควรใส่ขดลวด !

แต่ในที่สุดผมก็ไม่เชื่อเซ็นส์ของตัวเอง ผมกลับใส่ขดลวดให้พ่อแล้วเอา ท่อระบายน้ำดีออก!

ตอนที่ 4. พ่อไปเลือกที่เก็บกระดูกตัวเอง

ร่างกายพ่อกลับมาเเข็งเเรง พ่อสบายตัวคล่องตัวขึ้น ไม่มีท่อมีสายติดตัว พ่อชวนผมไปวัดใกล้บ้าน เลือกตำเเหน่งที่จะเก็บอัฐิด้วยตัวเอง ในใจผมรู้ว่าพ่อไม่ได้อยากทำเเบบนี้ พ่อไม่ได้เป็นคนไม่กลัวตาย เเต่คนจีนถือว่ามันคือการเเก้เคล็ดเป็นการต่ออายุตัวเอง พ่อทำตามที่น้องสาวพ่อโทรมาเเนะนำ

พ่อเเข็งเเรงขึ้นถึงขนาดที่เข้ารับการผ่าตัดต่อมลูกหมากโตด่วยการส่องกล้องได้ หมอยูโรบอกว่าผลการรักษาดี เเละพ่อก็สบายดีหลังผ่าตัด

ผมรู้ว่าพ่ออยากมีชีวิตส่วนตัวมากกว่านี้ อยากมีที่อยู่ที่อาศัยที่สบายกว่านี้ ด้วยฐานะที่ดีขึ้นผมพาพ่อไปดูที่ดินสร้างบ้าน เเละรีบเขียนเเบบบ้าน มีห้องมีที่เเบบที่พ่อชอบ ด้วยหวังว่าพ่อจะทันได้ไปอยู่ในบ้านหลังใหม่นี้

…ถ้าไม่จำเป็นพ่อไม่ยอมพูดอะไรให้ลูกไม่สบายใจ เป็นอีกครั้งที่พ่อทำเเบบนั้น เเล้วกลับส่งผลร้ายเเรง…

เช้าก่อนออกไปทำงานผมไม่เห็นพ่อลงมาจากห้อง ทั้งที่เมื่อวานพ่อยังพรวนดินต้นไม้หน้าบ้าน ผมขึ้นไปบนห้อง พบพ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้เลซี่บอย หน้าซีด เรียกเเทบจะไม่รู้สึกตัว เเละมีกองเลือดเจิ่งนองบนเก้าอี้

ผมรู้เเล้วว่าพ่อเสียเลือดเเละน่าจะมีอาการช้อค ความดันตกเเล้ว ไม่รอช้าผมตะโกนเรียกเเม่ ผมเเบกพ่อลงมาขึ้นรถ ไม่รอรถพยาบาล ผมจับพ่อเอนนอน เเละขับรถพาพ่อไปส่งโรงพยาบาล

ตอนที่ 5. เเล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ

บางครั้งสิ่งที่ตำราไม่ได้เขียน

หลักฐานทางวิชาการไม่ได้บอก

เเต่ญานของเราได้เตือนเราเเล้ว..

ในที่สุดขดลวดในท่อน้ำดีก็อุดตัน ภายในเวลาไม่ถึงสามเดือน

เป็นสาเหตุของการติดเชื้อรุนเเรงจนเข้าสู่กระเเสลือด ทำให้พ่อช้อคหมดสติไป

ด้วยร่างกายที่อ่อนเเอ เพิ่งได้รับคีโม เพิ่งผ่าตัดต่อมลูกหมาก การติดเชื้อครั้งนี้รุนเเรงเกินกว่าที่พ่อจะทนมันได้

พ่อถูกใส่ท่อหายใจ นอนใน ICU ความดันตก ผมต้องเเก้ไขด้วยการใส่ท่อระบายน้ำดีกลับไปในตับอีกครั้ง

ด้วยการอุดตัน การติดเชื้อ ทำให้ตับวาย เเละนำไปสู่ไตวาย..

พ่ออยู่ใน ICU หลายวันโดยไม่มีสัญญาณอะไรที่ดีขึ้น ด้วยความที่เป็นลูกรับผิดชอบโดยตรง เป็นเเพทย์ผู้ดูเเลผู้ป่วย ทำให้ผมรวบอำนาจการคิดตัดสินใจไว้ที่ตัวเองคนเดียว เเม่ไม่รู้ว่าพ่อกำลังจะตาย พี่สาวน้องสาวยังคิดว่าเดี่ยวพ่อคงจะดีขึ้น ไม่ต้องพูดถึงว่าผมได้ถามพ่อที่ไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียงหรือไม่

ผมตัดสินใจเอา ท่อช่วยหายใจออก และนำพ่อออกมาจาก ICU..ผมคิดว่าพ่อคงไม่รอดเเล้ว

ผมคิดเองว่าถ้าคิดได้เเละพูดได้ ถามความประสงค์พ่อๆคงไม่อยากสู้ต่อเหมือนกัน เเต่ผมลืมไปว่า หลายครั้งพ่อก็คิดไม่เหมือนกับผม หลายครั้งผมก็ครอบความคิดคนอื่น เเละหลายครั้งในเรื่องที่พ่อป่วย การตัดสินใจผมมักนำไปสู่เหตุการณ์ที่เเย่กว่า

ตอนที่ 6. ผู้ประกอบโรคศิลป์

มีเคสเกิดขึ้นทุกวัน ที่ผู้ป่วยเเละะญาติตั้งคำถามต่อการรักษาหรือการตัดสินใจของเเพทย์ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์กับผู้ป่วย หรืออย่างน้อยคือผลลัพธ์มิได้เป็นไปตามความคาดหวัง

หากไม่นับเรื่องความเลินเล่อประมาทอย่างอภัยไม่ได้ หรือมีเจตนาที่ไม่สุจริตหรือหวังเเก่เงินทองจนไม่สนใจความเหมาะสม กรณีที่การรักษาไม่เป็นไปตามความคาดหวังของผู้ป่วยเเละญาติก็ยังมีจำนวนมาก บางกรณีถูกละเลย บางกรณีเกิดการร้องเรียน บางครั้งก็นำสู่การฟ้องร้องขึ้นศาล

จากกรณีพ่อผม เราจะพอมองเห็นว่า เเม้ผู้ป่วยเป็นพ่อของหมอเอง หมอที่มีทักษะประสพการณ์สูง การตัดสินใจที่เกิดขึ้นอยู่บนทางเลือกที่เป็นทางสามเเพร่งเสมอ การเลือกเดินไปทางซ้ายก็มีเหตุผล เเต่หากเลือกไปทางขวาก็ดูไม่ผิดอะไร!! บางทีเราเลือกที่จะเชื่อตามตำรา บางทีเราเลือกที่จะเชื่อประสพการณ์หรือเซ็นส์ของเรา เเม้กระทั่งการตัดสินใจเรื่องเดียวกันในเวลาหรืออารมณ์ที่ต่างกันก็ให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน..

วันนี้ที่พ่อตายไป ยามใดที่คิดถึงพ่อ ผมจะโทษตัวเองเสมอว่า ผมยอมเเพ้เร็วเกินไป เราน่าจะมีโอกาสได้ใช้เวลาที่มีค่ากับพ่อก่อนพ่อตาย อีกสักช่วงเวลาหนึ่ง เเต่คนที่ควรมีโอกาสตัดสินใจเรื่องนี้คือตัวพ่อเองมากกว่า

ทุกวันนี้ มีโอกาสที่จะเกิดความขัดเเย้งไม่เห็นด้วยในเหตุผลที่เเพทย์ให้เเก่ผู้ป่วยหรือญาติ กับผลไม่อันพึงประสงค์ที่เกิดขึ้น ทำให้การฟ้องร้องเกิดขึ้นมากมาย ผลกระทบสำคัญจากเรื่องนี้ ทำให้เเนวทางการรักษาของเเพทย์ที่มีจริยธรรมส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนเเปลงไป จากสิ่งที่เรียกว่าการประกอบโรคศิลป์ ที่เป็นศาสตร์ที่ไม่เเข็งทื่อ มีการผ่อนหนักเบา มีการพิจารณาองค์ประกอบหลายด้าน เเละมุ่งเน้นในเรื่องการลดความทุกข์ทั้งกายใจ กลายเป็นเวชปฎิบัติตามมาตฐาน มีเเนวทางปฎิบัติ เป็นตารางเป็นการกำหนดให้ทำตาม หากใครไม่ทำเเบบนี้ถือว่าไม่มีมาตฐาน บางครั้งผู้ป่วยเองเป็นผู้เดินถือเอามาตฐานมาตั้งคำถามกับเเพทย์

สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เราดูไม่ต่างจากหุ่นยนต์ หรือ AI เท่าไหร่เลย

เมื่อหมอทำให้พ่อตัองตาย
Share Facebook

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *